วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

ไรอัน กิกส์

Ryan Giggs vs Everton-5 cropped.jpg

ไรอัน โจเซฟ กิกส์ (อังกฤษ: Ryan Joseph Giggs) ชื่อเดิม ไรอัน โจเซฟ วิลสัน (อังกฤษ: Ryan Joseph Wilson) เป็นนักฟุตบอลชาวเวลส์เชื้อสายเซียร์ราลีโอน เล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในตำแหน่งปีกซ้าย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) ใส่เสื้อประจำทีมหมายเลข 11 ปัจจุบันเป็นรองกัปตันทีมแมนฯยู ไม่เคยโดนใบแดงและเป็นผู้เล่นที่ลงเล่นมากที่สุดในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ผลงาน
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
พรีเมียร์ลีก แชมป์ 12 สมัย : ฤดูกาล 1992-1993, 1993-1994, 1995-1996, 1996-1997, 1998-1999, 1999-2000, 2000-2001, 2002-03, 2006-2007, 2007-2008, 2008-2009, 2010-2011
เอฟเอคัพ แชมป์ 4 สมัย : ฤดูกาล 1993-1994, 1995-1996, 1998-1999, 2003-2004
ลีกคัพ แชมป์ 3 สมัย : ฤดูกาล 1991-1992, 2005-2006, 2008-2009, 2009-2010
คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 8 สมัย : ปี 1993, 1994, 1996, 1997, 2003, 2007, 2008, 2010
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แชมป์ 2 สมัย : ฤดูกาล 1998-1999, ฤดูกาล 2007-2008
ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ แชมป์ 1 สมัย : ปี 1991
ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก แชมป์ 2 สมัย : ปี 1999 ,ปี 2008
รางวัลส่วนตัว
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ : 2009
ดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ : 1992, 1993
บราโว อวอร์ด : 1993
ได้รับเลือกให้อยู่ในทีมแห่งทศวรรษของพรีเมียร์ลีก : 2003
ได้รับเลือกเข้าสู่หอเกียรติยศฟุตบอลอังกฤษ : 2005
นักฟุตบอลเวลส์ยอดเยี่ยมแห่งปี : 1996, 2006
รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก : กันยายน 1993, สิงหาคม 2006, กุมภาพันธ์ 2007
ได้รับเลือกให้อยู่ในทีมแห่งศตวรรษของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ : 2007
ได้รับเลือกให้อยู่ในทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ : 1993, 1994, 1995, 1996, 1998, 2001, 2007
เป็นผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเพียงคนเดียวที่ได้แชมป์ลีกมากถึง 12 สมัย

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

เวย์น รูนีย์

Rooney CL.jpg

ประวัติ
รูนีย์เริ่มเล่นฟุตบอลให้กับเอฟเวอร์ตันตั้งแต่ปี 2001 ในทีมเยาวชนและและได้เล่นให้กับทีมอาชีพ โดยใส่เสื้อหมายเลข 18 นัดที่แจ้งเกิดของเขาคือนัดที่ยิงประตูช่วยให้เอฟเวอร์ตันต้นสังกัดของเขาเอาชนะอาร์เซนอลประมาณปี 2003 หลังจากนั้นรูนีย์ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงสม่ำเสมอ จากเดิมที่เป็นนักเตะฝึกหัดของสโมสร ได้รับค่าจ้างเพียง 10 ปอนด์ต่อสัปดาห์ก็ได้รับค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ฟอร์มการเล่นของเขาได้พัฒนาขึ้นทำให้มีหลายๆ สโมสรต้องการเขาไปร่วมทีม จนกระทั่งปี 2004 รูนีย์ได้ย้ายมาเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยมีค่าตัวสูงถึงค่าตัว 27 ล้านปอนด์ เล่นเป็นดาวยิงโดยใส่เสื้อหมายเลข 8 และมีค่าจ้างสูงถึง 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเล่นให้กับ ทีมชาติอังกฤษ โดยใส่เสื้อหมายเลข 9
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2006 เป็นปีที่ไม่ค่อยดีของเวย์น รูนีย์เท่าใดนัก เพราะในรอบแรกรูนีย์ไม่สามารถลงเล่นได้เนื่องจากมีปัญหาเนื่องมาจากอาการบาดเจ็บ และในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ทีมชาติอังกฤษได้พบกับทีมชาติโปรตุเกส รูนีย์โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม และทีมชาติอังกฤษตกรอบจากการดวลจุดโทษ แฟนบอลและสื่อทีมชาติอังกฤษต่างเพ่งเล็งมาที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของรูนีย์ซึ่งถูกครหาว่าเป็นตัวการที่ทำให้รูนีย์โดนใบแดง ทำให้สื่อมวลชนกุข่าวว่ารูนีย์ตั้งตนเป็นศัตรูกับโรนัลโด้ซึ่งอาจส่งผลให้โรนัลโด้ย้ายทีม แต่อย่างไรก็ดี รูนีย์ได้สยบข่าวลือนั้น ในฤดูกาล 2006 โรนัลโด้ได้เล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต่อไป เขากับโรนัลโด้เล่นได้เข้าขากันและยังเป็นกำลังหลักของยูไนเต็ดเหมือนเดิม และรูนีย์ก็ได้เป็นกำลังหลักในการนำแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกสูงสุดในฤดูกาล 2006-07
ด้านชีวิตส่วนตัว รูนีย์สมรสกับโคลีน (สกุลเดิม แมคโล-กลิน) มีบุตร 1 คน คือ ไค เวย์น รูนีย์ เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2009[ต้องการอ้างอิง] นอกจากนั้นเขายังมีน้องชายที่เล่นในตำแหน่งเดียวกันชื่อ จอห์น รูนีย์ ที่ปัจจุบันเล่นให้สโมสรฟุตบอลแม็คเคิ่ลฟิลล์ ทาวน์

ไมเคิล โอเวน



ไมเคิล โอเวน เป็นกองหน้าที่มีชื่อเสียงและเป็นกำลังหลักของลิเวอร์พูลในระหว่างปีที่เล่นให้กับลิเวอร์พูล (ค.ศ. 1996 - ค.ศ. 2004) เป็นผู้เล่นที่มีความโดดเด่นมาก เนื่องจากเป็นผู้เล่นที่อายุยังน้อย มีความว่องไว ยิงประตูได้คมกริบ อีกทั้งยังมีหน้าตาดี โดยมักจะถูกเปรียบเทียบกับ เดวิด เบคแคม ผู้เล่นกองกลาง ทีมชาติอังกฤษเช่นกัน จนได้รับฉายาจากแฟนฟุตบอลชาวไทยว่า "ไอ้หนูมหัศจรรย์" (Baby Goal)
ในฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส ไมเคิล โอเวน ได้ติดทีมชาติเป็นครั้งแรก ๆ ได้ลากลูกจากครึ่งสนามผ่านเข้าไปยิงประตูอาร์เจนตินาในการพบกันของทั้งสองทีมในรอบสอง ก่อนที่อังกฤษจะเป็นแพ้ไป แต่ทว่าลูกยิงลูกนั้นเป็นที่ฮือฮาและกล่าวขานเป็นอย่างมาก
ปี ค.ศ. 2001 ไมเคิล โอเวน ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป หรือ บัลลงดอร์ (Ballon d'Or)
ในฟุตบอลโลก 2002 อังกฤษได้พบกับบราซิลในรอบสอง ซึ่งเป็นครั้งแรกด้วยที่ทั้งสองทีมพบกันในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ซึ่งนัดนี้เป็นที่จับตามองอย่างมากของแฟนฟุตบอลทั่วโลก ไมเคิล โอเวน เป็นผู้ยิงประตูให้อังกฤษขึ้นนำไปก่อน 1-0 แต่ทว่าบราซิลในเวลาก่อนจะหมดครึ่งแรกไม่นานก็สามารถตีเสมอได้จาก ริวัลโด้ และพลิกกลับมานำในครึ่งหลัง ก่อนจะชนะ 2-1 ไปในที่สุด
ปี ค.ศ. 2004 ไมเคิล โอเวน ได้สร้างความประหลาดใจแก่แฟนบอลและสร้างความเสียใจให้แก่แฟนลิเวอร์พูล โดยได้ย้ายไปอยู่กับ รีล มาดริด ในสเปน แต่ว่าไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าสมัยอยู่กับลิเวอร์พูล ก่อนจะย้ายกลับมาอังกฤษอีกครั้งในปี ค.ศ. 2005 กับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด แต่ก็ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บอยู่เป็นระยะ ทำให้ไม่สามารถลงเล่นได้มากนัก เมื่อหมดสัญญากับสโมสรนิวคาสเซิลแล้ว ล่าสุด ไมเคิล โอเวน ก็ได้ตัดสินใจย้ายทีมที่สร้างความประหลาดใจให้เหล่าแฟนบอลด้วยการย้ายไปโดยไม่มีค่าตัวเพื่อเล่นให้กับ สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


สโมสร

ลิเวอร์พูล
แชมป์เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000-01
แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000-01, 2002-03
แชมป์เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ ปี 2001
แชมป์ยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 2000-01
แชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ ปี 2001
แชมป์เอฟเอยูธคัพ ฤดูกาล 1995-96

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2010-11
แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2009-10
แชมป์เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ ปี 2010

ทีมชาติอังกฤษ
FA Summer Tournament ปี 2004

เกียรติประวัติส่วนตัว
นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (1) : 1997-98
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำเดือน (1) : สิงหาคม 1998 พรีเมียร์ลีกอังกฤษ
Premier League Golden Boot (2) : 1997-98, 1998-99
PFA Premier League Team of the Year (1) : 1997-98
Carling Premiership Player of the Year (1) : 1997-98
FIFA World Cup Best Young Player Award (1) : ฝรั่งเศส 1998
BBC Sports Personality of the Year (1) : 1998
บัลลงดอร์ (1) : 2001
Premier League 10 Seasons Awards (1992-93 ถึง 2001-02) : Domestic Team of the Decade
ฟีฟ่า 100

ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ

Berbatov.jpg

ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ เป็นนักฟุตบอลที่มีได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินลูกหนังคนหนึ่งของวงการฟุตบอลเกิดในครอบครัวนักกีฬาในบัลแกเรียพ่อของเขาเป็นนักฟุตบอลเช่นเดียวกับเขา ส่วนแม่ของเขาเป็นนักแฮนด์บอล เบอร์บาตอฟ ได้เริ่มเล่นฟุตบอลในระดับเยาวชนกับทีม ปิริน บลาโกลฟกราด ซึ่งเป็นสโมสรเดียวกับที่พ่อเขาเคยค้าแข้งในอดีต ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นทำให้ ซีเอสเคเอ โซเฟีย สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของบัลแกเรีย เซ็นสัญญาคว้าตัวเขามาร่วมทีมในขณะที่มีเบอร์บาตอฟอายุ 17 ปี ก่อนจะได้ประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในฤดูกาล 1998-99 ด้วยวัยเพียง 18 ปี และนับจากนั้นเป็นต้นมา เบอร์บาตอฟ ก็เริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยการทำ 14 ประตู ในการลงสนามในลีก 27 นัด นอกจากนั้น ยังพาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยของบัลแกเรียมาครองด้วย
ในปี 2000-2001 สถิติทำ 9 ประตูใน 11 เกมในฤดูกาล ทำให้ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ทีมดังของแห่งศึกบุนเดสลีกา ตัดสินใจคว้าตัวดาวเตะชาวบัลแกเรียน มาช่วยล่าตาข่ายในเดือนม.ค. 2001
อย่างไรก็ตาม ช่วงแรกของ เบอร์บาตอฟ กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ไม่สวยหรูอย่างที่คิดเนื่องจากเขาทำได้แค่ 16 ประตูในการลงสนาม 67 นัดแรก โดยกว่าที่จะกลายเป็นกองหน้าเบอร์ 1 ของเลเวอร์คูเซ่น ก็ต้องรอจนกระทั่งฤดูกาล 2003-04 ที่เขากดไป 16 ประตู จากการออกสตาร์ทเป็นตัวจริง 24 นัด 2 ฤดูกาลถัดมา เบอร์บาตอฟ เริ่มทำผลงานได้ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยสอยไปอีก 46 ประตู ซึ่งรวมถึง 5 ประตู ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2004-05 และนั่นทำให้เขาเริ่มกลายเป็นที่สนใจของหลายสโมสรดังในยุโรป ทว่า สุดท้ายกลายเป็น ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ทีมดังจากเกาะอังกฤษ ที่คว้าตัวรองดาวซัลโวบุนเดสลีก้า ฤดูกาล 2005-06 ไปครองด้วยค่าตัว 16 ล้านยูโร (ราว 800 ล้านบาท) และเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ก.ค. 2006 ประตูแรกของในเกมอย่างเป็นทางการนัดแรกของ เบอร์บาตอฟ กับ สเปอร์ส เกิดขึ้นในเกมพรีเมียร์ชิพที่พบกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ไวท์ ฮาร์ท เลน นอกจากนั้น การประสานงานที่เข้าขากับ ร็อบบี้ คีน ก็ทำให้ทีม "ไก่เดือยทอง" ทะลุเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ ก่อนจะพ่ายให้กับ เซบีย่า ที่กลายเป็นแชมป์ในเวลาต่อมา เบอร์บาตอฟ จบฤดูกาลแรกกับ สเปอร์ส ด้วยการทำ 12 ประตูในการลงสนามในพรีเมียร์ลีก 33 นัด และช่วยผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูอีก 11 ลูก และฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นดังกล่าวก็ทำให้เขาได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของทีมไก่เดือยทองด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยังติดทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2007 ด้วยนอกจากจะโดดเด่นในระดับสโมสรแล้ว ในทีมชาติ เบอร์บาตอฟ ก็ถือว่าเป็นกำลังสำคัญของทีมเช่นกัน โดยหลังจากที่ติดธงครั้งแรกเมื่อปี 1999 แล้วเขาก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของบัลแกเรียถึง 3 สมัย ในปี 2002, 2004 และ 2005 พร้อมกับทำหน้าที่กัปตันทีมด้วย
ฤดูกาล 2007-08 เบอร์บาตอฟ ต้องเผชิญหน้ากับข่าวการย้ายทีมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 ในเดือนม.ค. 2008 ซึ่งแม้ว่า ฆวนเด้ รามอส กุนซือของทีม จะออกมายืนยันหลายครั้งว่าสเปอร์ส ไม่มีความคิดที่จะขายศูนย์หน้าตัวเก่งรายนี้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถลดกระแสข่าวลงได้เลย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เคยปิดบังว่าเขาชื่นชอบทักษะและสัญชาตญาณการทำประตูของ เบอร์บาตอฟ มากแค่ไหน แต่ความพยายามที่จะดึงตัวดาวยิงบัลแกเรียน มาร่วมทีมอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ เชลซี ทีมเจ้าบุญทุ่มของเมืองผู้ดี ก็พร้อมที่จะประเคนเงินก้อนโตให้ สเปอร์ส ยอมใจอ่อนเช่นกัน เรื่องราวการย้ายทีมยังมีอย่างไม่ลดละ เบอร์บาตอฟก็ได้แสดงออกอย่างชัดเจนในการยย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงขั้นเซ็นชื่อในเสื้อของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และในที่สุดเขาก็ได้ย้ายมาร่วมทีมกับ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 30.75 ล้านปอนด์ (หรือประมาณ 1,968 ล้านบาท)
ในฤดูกาลแรกเขาต้องแย่งชิงตำแหน่งกับ คาร์ลอส เตเบซ หัวหอกชาวอาร์เจนติน่า แต่หัวหอกชาวบัลแกเรียก็ยังไม่สามารถทำได้จนในปีต่อมาหลังจากที่ คาร์ลอส เตเวซ ย้ายไปร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ซิติ้ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ เขาจึงได้ตำแหน่งตัวจริงมาครอบครอง แต่เขาก็ยังไม่สามารถระเบิดฟอร์มเก่งออกมาได้ทำให้มีเสียงวิพากย์วิจาณ์มากจนมีฉายาตามมาเช่น "ไอ้ช้า" ทำให้แฟนบอลรู้สึกว่าไม่คุมค่าตัว 30.75 ล้านปอนด์ที่สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้เสียไปแต่ในฤดูกาล 2010-2011 หัวหอกหมายเลขเก้าระเบิดฟอร์มเก่งด้วยความขยันซ้อมและการพูดคุยกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยนำสามารถทำ 3 ประตูในเกมชนะ ลิเวอร์พูล 3-2 ทำให้เขาเป็นที่ยอมรับในสายตาแฟนบอลมากขึ้น รวมถึงยังโชว์ฟอร์มสุดยอดทำคนเดียว 5 ประตูในเกมชนะแบล็คเบิร์น โรเวอร์สไปอย่างขาดลอย 7-1 ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ที่ยิง 5 ประตูในเกมเดียว ต่อจาก แอนดี้ โคล, อลัน เชียเรอร์ และ เจอร์เมน เดโฟ และตอนนี้เป็นดาวชันโวของพรีเมียร์ลีกด้วย แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่ไม่คงที่แน่นอนจึงทำให้เขาตกเป็นตัวสำรองบ่อยครั้ง ไอปอน

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

จอนนี่ อีแวนส์


ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม โจนาธาน แกรนท์ อีแวนส์
 วันเกิด 2 มกราคม ค.ศ. 1988 (24 ปี)
    สถานที่เกิด เบลฟาสต์, ไอร์แลนด์เหนือ
          ส่วนสูง 1.89 ม. (6 ฟุต 2 นิ้ว)
ตำแหน่ง Centre back  Left back
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
หมายเลข 23
สโมสรเยาวชน
2004–2006 สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ประวัติ
โจนาธาน แกรนท์ อีแวนส์ รู้จักกันดีในนาม จอนนี่ อีแวนส์ เซ็นเตอร์แบ๊กดาวรุ่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกิดที่ เบลฟาสต์ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ ด้วยความสูงที่เหมาะเจาะทำให้เขาพร้อมมากที่จะเล่นเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ แต่ความสูงไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะทักษะในการเล่นลูกบนพื้นดินของเขาก็คล่องแคล่วว่องไว ถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความแข็งแกร่งของร่างกาย และทักษะที่เฉียบขาดอย่างแท้จริง Jonny Evans เป็นอีก 1 ผลผลิตของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้เข้ามาสู่ทีมตั้งแต่ปี 2004 โดยเข้ามาอยู่ในทีมเยาวชนจากนั้นก็อยู่ในทีมเยาวชนมาจนถึงปี 2006 ก็ได้ถูกส่งไปในการยืมตัวกับ Royal Antwerp ทีมพันธมิตรของ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่เบลเยี่ยม 1 ฤดูกาลจากนั้นก็ ถูกยืมไปอยู่กับ Sunderland ของ รอย คีน อีก 2 ฤดูกาลติดต่อกัน และ กลายเป็ตัวสำคัญของทีมอย่างยอดเยี่ยมช่วยให้ทีมมีเกมรับที่แกร่งขึ้น
จนมาฤดูกาล 2008 Evans ที่ได้กลับมาอยู่กับปีศาจแดงแล้ว ก็ได้โอกาสลงเล่นให้กับทีมในศึกบิ๊กแมตกับ Chelsea โดยได้ลงเล่นแทน Vidic ที่ติดโทษแบน ซึ่งแมตนี้จบลงโดยการเสมอกันไป 1-1 ซึ่ง Evans ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไร้ที่ติ ทำให้ทุกคนสามารถไว้วางใจในตัวเขาได้สบายแม้ว่าทีมจะขาดสุดยอดกองหลังอย่าง Ferdinand หรือ Vidic ก็ยังมี Evans ที่ทดแทนได้อย่างดีอีก กับทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ Jonny Evans ติดทีมชาติชุดใหญ่มาตั้งแต่ปี 2006 แล้ว ซึ่งได้ติดทีมชาติก่อนได้ลงให้ทีมชุดใหญ่ของ Man Utd. ซะอีก และเป็นกองหลังตัวหลักของทีมมาต่อเนื่อง